ตาแดงต้องทำยังไง? วิธีดูแลและรักษาอย่างถูกต้อง

ตาแดง ต้องทำยังไง? วิธีดูแลและรักษาอย่างถูกต้อง

ตื่นเช้ามาพร้อมกับอาการตาแดง คัน หรือเคืองตาใช่ไหมคะ? หมอเข้าใจเลยค่ะว่าอาการเหล่านี้ไม่เพียงรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ยังสร้างความกังวลใจได้ไม่น้อย ตาแดง เป็นปัญหาทางสายตาที่พบได้บ่อยและเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่การระคายเคืองเล็กน้อยที่หายได้เอง ไปจนถึงสัญญาณของโรคตาที่รุนแรงซึ่งต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน

ในบทความนี้ พญ. มัทยา ขวัญอโนชา (หมอหลิน) จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะมาไขทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการตาแดง พร้อมแนะนำวิธีดูแลรักษาเบื้องต้นอย่างถูกวิธี เคล็ดลับการป้องกัน และที่สำคัญที่สุดคือ สัญญาณอันตราย ที่บ่งบอกว่าคุณควรมาพบแพทย์ทันที เพื่อให้คุณดูแลดวงตาได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยที่สุดค่ะ

Key Takeaways: สรุปประเด็นสำคัญเรื่องตาแดง

  • สาเหตุหลัก: มีทั้งแบบ ติดเชื้อ (ไวรัส, แบคทีเรีย) ซึ่งสามารถแพร่กระจายและติดต่อกันได้ง่าย และแบบ ไม่ติดเชื้อ (ภูมิแพ้, ตาแห้ง, การระคายเคือง)

  • การดูแลเบื้องต้น: ห้ามขยี้ตาเด็ดขาด งดใส่คอนแทคเลนส์ชั่วคราว ประคบเย็นเพื่อลดบวม ใช้ น้ำตาเทียม แบบไม่มีสารกันเสีย เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และหมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ

  • ความเสี่ยงคอนแทคเลนส์: หากคุณใส่คอนแทคเลนส์และมีอาการตาแดง ต้องหยุดใส่ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่กระจกตาซึ่งอันตรายมาก

  • การป้องกัน: หัวใจสำคัญคือการรักษาสุขอนามัย ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น และการดูแลคอนแทคเลนส์ที่ถูกต้อง

  • เมื่อไหร่ต้องพบแพทย์: หากมีอาการ ปวดตารุนแรง, มองเห็นภาพมัวลง, สู้แสงจ้าไม่ได้, มีขี้ตาสีเขียว/เหลืองปริมาณมาก หรืออาการไม่ดีขึ้นใน 2-3 วัน ควรรีบพบจักษุแพทย์ทันที

ทำความรู้จัก อาการตาแดง

ทำความรู้จัก "อาการตาแดง"

ตาแดง คือภาวะที่บริเวณตาขาวเปลี่ยนเป็นสีชมพูหรือสีแดง เกิดจากการอักเสบหรือขยายตัวของหลอดเลือดฝอยที่เยื่อบุตา (Conjunctiva) ซึ่งเป็นเยื่อเมือกใสที่คลุมอยู่บนตาขาวและด้านในของเปลือกตา

โดยทั่วไปมักมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย:

  • ตาแดงหรือชมพูในตาขาว

  • คัน เคืองตา หรือรู้สึกเหมือนมีทรายอยู่ในตา

  • น้ำตาไหลมากกว่าปกติ

  • เยื่อบุตาบวม

  • มีขี้ตา (อาจเป็นเมือกใส, สีขาว, สีเหลือง หรือสีเขียว)

  • อาจมีอาการตามัวเล็กน้อย

5 สาเหตุหลักของอาการตาแดงที่พบบ่อย

5 สาเหตุหลักของอาการตาแดงที่พบบ่อย

อาการตาแดงสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ซึ่งหมอจะแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เพื่อให้เข้าใจง่าย ดังนี้ค่ะ

1. การติดเชื้อที่เยื่อบุตา

นี่คือสาเหตุที่คนมักเรียกว่า “โรคตาแดง” และสามารถติดต่อกันได้ง่ายมาก

  • เชื้อไวรัส: เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด มักมีอาการน้ำตาไหล (เป็นน้ำใสๆ) และเคืองตามาก อาจเริ่มจากตาข้างหนึ่งแล้วลามไปอีกข้าง มักติดต่อกันผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่ง

  • เชื้อแบคทีเรีย: มักจะมีขี้ตาสีเหลืองหรือเขียวข้นเหนียว ทำให้เปลือกตาติดกันในตอนเช้าหลังตื่นนอน

2. ภูมิแพ้ขึ้นตา

เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น, ฝุ่น PM2.5, ขนสัตว์, หรือเกสรดอกไม้ ข้อมูลจาก ACAAI ระบุว่าอาการเด่นชัดคือ คันตาอย่างรุนแรง มักเป็นทั้งสองข้าง และอาจมีอาการภูมิแพ้ที่จมูก จาม คัดจมูก ร่วมด้วย

3. ภาวะตาแห้ง

เมื่อน้ำตาไม่เพียงพอที่จะให้ความชุ่มชื้น หรือน้ำตาระเหยเร็วเกินไป จะทำให้เกิดการระคายเคือง ตาแดง รู้สึกแสบตา และอาจมีน้ำตาไหล เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกาย มักเป็นทั้งสองข้างและอาการจะรุนแรงขึ้นเมื่อใช้สายตานานๆ หรืออยู่ในห้องแอร์

4. การระคายเคือง

เกิดจากการสัมผัสสิ่งแปลกปลอม เช่น ฝุ่น ควัน สารเคมี เช่น คลอรีนในสระว่ายน้ำ หรือการใส่คอนแทคเลนส์ที่ไม่สะอาดหรือใส่นานเกินไป

5. ภาวะเลือดออกใต้เยื่อบุตา

ภาวะนี้จะดูน่ากลัวที่สุด เพราะเห็นเป็นปื้นเลือดสีแดงสดบนตาขาว แต่กลับอันตรายน้อยที่สุดค่ะ เกิดจากเส้นเลือดฝอยในตาแตก สาเหตุอาจมาจากการไอ จามรุนแรง, การเบ่ง, หรือการถูกกระแทก มักไม่มีอาการเจ็บปวด และการมองเห็นยังปกติ เลือดจะค่อยๆ จางหายไปเองใน 1-2 สัปดาห์

ตาแดงจากคอนแทคเลนส์ ความเสี่ยงที่ต้องระวังเป็นพิเศษ

สำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ หมอขอเน้นย้ำเป็นพิเศษนะคะ หากคุณมีอาการตาแดง ต้องหยุดใส่คอนแทคเลนส์ทันที และเปลี่ยนมาใส่แว่นตาแทน

ทำไมถึงอันตราย? เพราะอาการตาแดงในผู้ใช้คอนแทคเลนส์ อาจไม่ได้เป็นแค่เยื่อบุตาอักเสบธรรมดา แต่อาจเป็นสัญญาณของ การติดเชื้อที่กระจกตา ซึ่งรุนแรงกว่ามาก และอาจทำให้เกิดแผลเป็นที่กระจกตาหรือสูญเสียการมองเห็นถาวรได้

คำแนะนำ:

  1. หยุดใส่ทันที

  2. ห้ามทิ้งคอนแทคเลนส์คู่ที่มีปัญหา: ให้เก็บใส่ตลับพร้อมน้ำยาแช่เลนส์มาให้แพทย์ตรวจด้วย เพื่อที่แพทย์อาจส่งเพาะเชื้อหาต้นเหตุ

  3. รีบพบจักษุแพทย์: อย่ารอช้า แม้อาการจะดูเล็กน้อยก็ตาม

ตาแดง กับ ตากุ้งยิง อาการที่มักสับสน

หลายคนมักสับสนระหว่าง “ตาแดง” เยื่อบุตาอักเสบ กับ “ตากุ้งยิง” ซึ่งเป็นคนละโรคกันโดยสิ้นเชิงค่ะ

  • ตาแดง: คือการอักเสบของ “เยื่อบุตา” อาการคือ ตาขาวจะแดงเป็นบริเวณกว้าง อาจมีขี้ตาและคัน

  • ตากุ้งยิง: คือการอักเสบติดเชื้อของ “ต่อมไขมันที่เปลือกตา” อาการคือ เปลือกตาจะบวมแดงเป็นก้อน หรือเป็นตุ่มหนอง อาจเจ็บปวดเวลากะพริบตา แต่ตาขาวอาจไม่แดงก็ได้

การแยกสองโรคนี้สำคัญมาก เพราะวิธีรักษาแตกต่างกันค่ะ

สัญญาณอันตราย! ตาแดงแบบไหนที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที

สัญญาณอันตราย! ตาแดงแบบไหนที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที

แม้ตาแดงส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่บางอาการก็เป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงที่อาจส่งผลต่อการมองเห็นอย่างถาวรได้ หากคุณมีอาการตาแดงร่วมกับลักษณะดังต่อไปนี้ ควรรีบพบจักษุแพทย์โดยด่วน

  • ปวดตาอย่างรุนแรง ไม่ใช่แค่คันหรือเคือง

  • การมองเห็นลดลง หรือตามัวลงอย่างเฉียบพลัน

  • ไม่สามารถสู้แสงจ้าได้ ต้องหรี่ตาหรืออยู่ในที่มืด

  • มีขี้ตาสีเขียวหรือสีเหลืองปริมาณมาก

  • อาการตาแดงไม่ดีขึ้น หรือแย่ลงหลังผ่านไป 2-3 วัน

  • มีประวัติใส่คอนแทคเลนส์ แล้วเกิดอาการตาแดง

  • มีอาการทางร่างกายอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน

  • สงสัยว่ามีสิ่งแปลกปลอมหรือสารเคมีเข้าตา

อาการเหล่านี้อาจบ่งชี้ถึงภาวะร้ายแรง เช่น กระจกตาติดเชื้อ, ม่านตาอักเสบ, หรือต้อหินเฉียบพลัน ซึ่งต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วนค่ะ

ขั้นตอนการวินิจฉัยตาแดงทำอย่างไร?

เมื่อคุณมาพบจักษุแพทย์ด้วยอาการตาแดง สิ่งที่คุณจะได้รับการตรวจมีดังนี้ค่ะ:

  1. การซักประวัติ: หมอจะถามคำถามสำคัญ เช่น เริ่มเป็นเมื่อไหร่, มีอาการอื่นร่วมด้วยหรือไม่, ใส่คอนแทคเลนส์หรือไม่, มีคนใกล้ชิดเป็นตาแดงหรือไม่, มีโรคประจำตัวหรือแพ้ยาอะไร

  2. การตรวจวัดสายตา: เพื่อประเมินว่าการมองเห็นลดลงหรือไม่

  3. การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์: นี่คือเครื่องมือสำคัญที่สุดค่ะ หมอจะใช้กล้องส่องขยายเพื่อดูโครงสร้างต่างๆ ของตาอย่างละเอียด ดูว่าการอักเสบอยู่แค่ที่เยื่อบุตา หรือลามไปถึงกระจกตา ม่านตา หรือส่วนอื่นๆ

  4. การย้อมสีที่กระจกตา: อาจมีการหยอดยาชาและแถบสีส้ม เพื่อตรวจดูว่ามีแผลหรือการติดเชื้อที่กระจกตาหรือไม่

  5. การเก็บตัวอย่างส่งตรวจ: ในกรณีที่สงสัยการติดเชื้อรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษา หมออาจต้องป้ายเก็บตัวอย่างขี้ตาหรือจากเยื่อบุตาเพื่อส่งเพาะเชื้อ

วิธีดูแลรักษาตาแดงเบื้องต้น และการรักษาโดยแพทย์

วิธีดูแลรักษาตาแดงเบื้องต้น และการรักษาโดยแพทย์

การรักษาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสาเหตุ แต่มีวิธีดูแลเบื้องต้นที่สามารถทำได้เหมือนกันค่ะ

การดูแลตัวเองเบื้องต้น (เมื่อเริ่มมีอาการ)

  1. ห้ามขยี้ตา: นี่คือข้อที่สำคัญที่สุด! การขยี้ตาจะยิ่งทำให้อาการระคายเคืองและอักเสบรุนแรงขึ้น และอาจทำให้เชื้อโรคแพร่กระจาย

  2. ล้างมือบ่อยๆ: ล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาด โดยเฉพาะก่อนและหลังสัมผัสใบหน้าหรือหยอดตา

  3. ประคบเย็น: ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นหรือห่อน้ำแข็งประคบบนเปลือกตา ขณะหลับตา ครั้งละ 5-10 นาที เพื่อช่วยลดอาการบวมและคัน

  4. งดใส่คอนแทคเลนส์: ย้ำอีกครั้งว่าต้องหยุดใส่ทันที และเปลี่ยนไปใส่แว่นตาจนกว่าอาการจะหายสนิท

  5. ใช้น้ำตาเทียม: การหยอดน้ำตาเทียม ชนิดไม่มีสารกันเสียจะดีที่สุด จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและล้างสารก่อภูมิแพ้หรือสิ่งระคายเคืองออกไปได้

  6. หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกัน: ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หรือปลอกหมอนร่วมกับผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ

การดูแลตาแดงในเด็ก

หากลูกหลานมีอาการตาแดง ซึ่งมักเกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียและติดต่อกันง่ายมาก ควรให้หยุดเรียนจนกว่าอาการจะดีขึ้นหรือแพทย์อนุญาต เพื่อป้องกันการระบาดในโรงเรียน และเน้นย้ำเรื่องการล้างมือบ่อยๆ ค่ะ

การรักษาตามสาเหตุโดยแพทย์

  • กรณีติดเชื้อไวรัส: ส่วนใหญ่มักจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ คล้ายไข้หวัด แพทย์อาจแนะนำให้ประคบเย็นและใช้น้ำตาเทียมเพื่อบรรเทาอาการ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ

  • กรณีติดเชื้อแบคทีเรีย: แพทย์จะสั่งยาหยอดตาหรือยาป้ายตาปฏิชีวนะ ยาฆ่าเชื้อ

  • กรณีภูมิแพ้ขึ้นตา: แพทย์จะสั่งยาหยอดตาแก้แพ้ ยาต้านฮีสตามีน หรือยาช่วยลดการอักเสบ

  • กรณีระคายเคือง/ตาแห้ง: ให้หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น และใช้น้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น

  • กรณีต้อหินเฉียบพลัน: ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน ต้องรีบเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลโดยด่วน

วิธีป้องกันตาแดง ดูแลดวงตาเชิงรุก

การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาเสมอค่ะ โดยเฉพาะตาแดงที่เกิดจากการติดเชื้อ สามารถป้องกันได้ง่ายๆ ดังนี้

  1. รักษาสุขอนามัยมือ: ล้างมือด้วยสบู่เป็นประจำ คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด

  2. ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกัน: โดยเฉพาะผ้าเช็ดหน้าและเครื่องสำอางรอบดวงตา

  3. สำหรับผู้ใช้คอนแทคเลนส์:

    • ล้างมือก่อนสัมผัสเลนส์ทุกครั้ง

    • ทำความสะอาดและแช่เลนส์ด้วยน้ำยาที่ถูกต้อง

    • เปลี่ยนตลับแช่เลนส์ทุก 3 เดือน

    • ห้าม ใส่นอน และ ห้าม ใส่อาบน้ำหรือว่ายน้ำ

    • ไม่ใส่เลนส์นานเกินกว่าระยะเวลาที่กำหนด

  4. สำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้: พยายามหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่ทราบสาเหตุ และอาจใช้เครื่องฟอกอากาศในห้องนอน

วินิจฉัยแม่นยำ รักษาตรงจุด ที่ Mattaya Vision Center

การวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงของตาแดงคือหัวใจสำคัญของการรักษาที่ถูกต้องและปลอดภัย เพราะการรักษาที่ผิดวิธี โดยเฉพาะการซื้อยาหยอดตาที่มี “สเตียรอยด์” มาใช้เอง อาจทำให้อาการแย่ลงและเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้

ที่ Mattaya Vision Center เราให้ความสำคัญกับการวินิจฉัยที่แม่นยำโดยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมด้วยเครื่องมือตรวจวินิจฉัยโรคตาที่ทันสมัยและมีมาตรฐานเทียบเท่าโรงพยาบาลชั้นนำ ทำให้เราสามารถประเมินและวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุด

หากคุณมีอาการตาแดงที่น่ากังวล หรือไม่แน่ใจในสาเหตุ สามารถนัดหมายเพื่อเข้าตรวจกับ พญ. มัทยา ขวัญอโนชา (หมอหลิน) และทีมจักษุแพทย์ได้โดยตรง ที่ Mattaya Vision Center สาขา The Crystal เอกมัย-รามอินทรา เพื่อให้ดวงตาของคุณกลับมาสดใสและมีสุขภาพดีอีกครั้งค่ะ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ตาแดงกี่วันหาย?

ขึ้นอยู่กับสาเหตุค่ะ หากเป็นตาแดงจากเชื้อไวรัสหรือการระคายเคืองเล็กน้อย อาการมักจะดีขึ้นและหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่หากเกิดจากเชื้อแบคทีเรียและได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ก็จะดีขึ้นในเวลาไม่กี่วัน

ตาแดงที่เกิดจากการติดเชื้อ โดยเฉพาะ เชื้อไวรัส จะติดต่อกันได้ง่ายที่สุด ผ่านการสัมผัสน้ำตาหรือขี้ตาของผู้ป่วย แล้วมาสัมผัสดวงตาของตัวเอง จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันและหมั่นล้างมือให้สะอาด

ไม่แนะนำอย่างยิ่ง ค่ะ โดยเฉพาะยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ซึ่งอาจทำให้อาการติดเชื้อบางชนิด เช่น เริมที่ตา รุนแรงขึ้นจนถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้ เนื่องจากตาแดงมีหลายสาเหตุ การรักษาจึงต้องตรงจุด การพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับยาที่ถูกต้องจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด

น้ำตาเทียมไม่ได้ “รักษา” การติดเชื้อโดยตรง แต่ช่วย “บรรเทาอาการ” ได้ดีมากค่ะ โดยช่วยชะล้างสิ่งสกปรก สารก่อภูมิแพ้ และเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง จึงเป็นตัวช่วยที่ดีในการดูแลเบื้องต้น

สรุป

ตาแดงเป็นอาการที่พบได้บ่อยและเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ การสังเกตอาการเบื้องต้นและทราบว่าเมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อ

อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่แน่ใจในสาเหตุ มีอาการที่น่ากังวล หรืออาการไม่ดีขึ้น การปรึกษาจักษุแพทย์ใกล้บ้านคือทางเลือกที่ปลอดภัยและดีที่สุด เพื่อให้ดวงตาของคุณได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมค่ะ

ผู้เขียนบทความ

ผู้เขียนบทความ

แพทย์หญิง มัทยา ขวัญอโนชา (หมอหลิน)

จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตาและการมองเห็น

ด้วยความเชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยา จักษุแพทย์ผู้ก่อตั้ง Mattaya Vision Center พร้อมวินิจฉัยและให้คำปรึกษาเฉพาะทางด้านเลนส์โปรเกรสซีฟ เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่มีปัญหาสายตาซับซ้อนจากภาวะสายตายาวตามวัย

ประวัติการศึกษา:

  • แพทยศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 1):  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

  • วุฒิบัตรสาขาจักษุวิทยา:  คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

  • วุฒิบัตรการผ่าตัดตกแต่งกล้ามเนื้อตาและตาสองชั้น: Korean College of Cosmetic Surgery (KCCS) ประเทศเกาหลีใต้

ทักแชทปรึกษาฟรี
ทักไลน์ปรึกษาฟรี
สาขาของเรา
×

เบอร์โทรติดต่อ

099-463-6365